
การค้นหาผ่านเสียงหรือ Voice Search กลายเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการใช้งานของผู้ช่วยดิจิทัลเช่น Siri, Google Assistant, Alexa, และ Cortana ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลหรือควบคุมอุปกรณ์ได้ง่าย ๆ เพียงแค่พูดคำสั่งหรือคำถามผ่านเสียง Voice Search Optimization หรือ การปรับแต่ง SEO สำหรับการค้นหาผ่านเสียง จึงกลายเป็นสิ่งสำคัญในการทำ SEO โดยเฉพาะเมื่อการค้นหาผ่านเสียงกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในหลายประเทศ บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจว่า Voice Search Optimization คืออะไร, ทำไมมันถึงสำคัญ และวิธีการปรับเว็บไซต์ของคุณให้รองรับการค้นหาผ่านเสียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หัวข้อ
Voice Search Optimization คืออะไร?
Voice Search Optimization หรือ การปรับแต่ง SEO สำหรับการค้นหาผ่านเสียง คือการปรับแต่งเว็บไซต์หรือเนื้อหาของเว็บไซต์เพื่อให้เหมาะสมกับการค้นหาผ่านคำสั่งเสียงที่ผู้ใช้พูดกับเครื่องมือค้นหาหรือผู้ช่วยดิจิทัล การปรับแต่งนี้จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณสามารถปรากฏในผลการค้นหาจากคำค้นหาที่มาจากการพูด ซึ่งมีรูปแบบและลักษณะที่แตกต่างจากการพิมพ์คำค้นหา
การค้นหาผ่านเสียงจะใช้คำถามหรือคำค้นหาที่มีลักษณะธรรมชาติและพูดได้ง่าย เช่น “ร้านกาแฟที่ดีที่สุดใกล้ฉัน” หรือ “วิธีทำข้าวผัด” ซึ่งแตกต่างจากการพิมพ์คำค้นหาที่อาจจะสั้นและตรงไปตรงมา เช่น “ร้านกาแฟใกล้ฉัน” หรือ “ข้าวผัด” การทำ Voice Search Optimization จึงต้องมีการปรับเนื้อหาและคำค้นหาของเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการพูดของผู้ใช้
ทำไม Voice Search Optimization ถึงสำคัญ?
- การใช้ Voice Search กำลังเพิ่มขึ้น:
- Voice Search กำลังกลายเป็นช่องทางหลักในการค้นหาข้อมูลผ่านอุปกรณ์มือถือและอุปกรณ์สมาร์ทโฮมต่าง ๆ เช่น Google Assistant, Siri, Alexa, และ Cortana โดยเฉพาะกับผู้ใช้ที่ต้องการความสะดวกในการค้นหาข้อมูลในขณะทำกิจกรรมต่าง ๆ
- การวิจัยจาก Statista ชี้ให้เห็นว่า 50% ของการค้นหาทั้งหมดในปี 2020 มาจากการค้นหาผ่านเสียง และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต
- การค้นหาผ่านเสียงมีลักษณะเฉพาะ:
- ผู้ใช้มักจะพูดคำค้นหาด้วยภาษาที่เป็นธรรมชาติ เช่น “ร้านกาแฟที่ดีที่สุดใกล้ฉัน” หรือ “ร้านอาหารในกรุงเทพที่เปิดตอนดึก” ซึ่งแตกต่างจากการพิมพ์ที่มักจะใช้คำค้นหาสั้น ๆ
- Voice Search Optimization ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณสามารถปรากฏในผลการค้นหาที่มีลักษณะเช่นนี้ได้
- Google ให้ความสำคัญกับการค้นหาผ่านเสียง:
- Google ได้เพิ่มการรองรับการค้นหาผ่านเสียงในระบบการจัดอันดับเว็บไซต์ (Search Algorithm) ซึ่งทำให้เว็บไซต์ที่มีการปรับแต่ง SEO สำหรับการค้นหาผ่านเสียงมีโอกาสที่จะปรากฏในผลการค้นหามากขึ้น
- การทำ Voice Search Optimization จึงช่วยให้เว็บไซต์ของคุณสามารถเข้าถึงผู้ใช้งานที่ใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ในการค้นหาข้อมูลได้อย่างง่ายดาย
วิธีการทำ Voice Search Optimization
- การใช้คำถามในเนื้อหา:
- Voice Search มักจะใช้คำถามหรือคำที่เป็นประโยค เช่น “ที่ไหนมีร้านกาแฟที่ดีที่สุดใกล้ฉัน?” หรือ “วิธีทำข้าวผัด” การใส่คำถามในเนื้อหาของเว็บไซต์จะช่วยให้เนื้อหานั้นเหมาะสมกับการค้นหาผ่านเสียง
- การสร้างบทความที่ตอบคำถามทั่วไปที่ผู้คนมักถาม เช่น “วิธีทำกาแฟสดที่บ้าน” หรือ “วิธีทำข้าวผัดใน 10 นาที” จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในการค้นหาผ่านเสียงได้
- **การใช้ Featured Snippets หรือ Position Zero:
- Featured Snippets หรือ Position Zero คือผลการค้นหาที่แสดงในตำแหน่งพิเศษเหนือผลลัพธ์การค้นหาปกติ โดยมักจะแสดงเป็นคำตอบที่ตรงไปตรงมา เช่น คำถามที่ผู้ใช้ถาม
- การตอบคำถามในรูปแบบที่กระชับและตรงประเด็น และให้ข้อมูลที่สามารถใช้เป็นคำตอบที่ถูกต้องและชัดเจนจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสขึ้นอยู่ใน Position Zero ซึ่งเหมาะสมกับการค้นหาผ่านเสียง
- การใช้คีย์เวิร์ด Long-tail:
- Voice Search มักจะใช้คำค้นหาที่ยาวและเฉพาะเจาะจง ดังนั้นการใช้ Long-tail Keywords ที่มีลักษณะคล้ายกับคำถาม เช่น “ร้านกาแฟออร์แกนิกที่ดีที่สุดในกรุงเทพ” หรือ “วิธีทำข้าวผัดใส่ไข่” จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณเหมาะสมกับการค้นหาผ่านเสียง
- คีย์เวิร์ด Long-tail มักจะมีการแข่งขันน้อยและสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงได้
- การทำให้เว็บไซต์โหลดเร็ว:
- ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการทำ SEO สำหรับการค้นหาผ่านเสียง เพราะผู้ใช้คาดหวังว่าจะได้รับผลลัพธ์อย่างรวดเร็ว
- ใช้เครื่องมือเช่น Google PageSpeed Insights เพื่อตรวจสอบและปรับปรุงความเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์
- การทำให้เว็บไซต์ใช้งานได้ง่ายบนมือถือ:
- การค้นหาผ่านเสียงส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นบนมือถือ ดังนั้นเว็บไซต์ของคุณควรมี Responsive Design ที่สามารถใช้งานได้ดีทั้งบนมือถือและแท็บเล็ต
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณรองรับการใช้งานบนมือถืออย่างเต็มประสิทธิภาพ
- การใช้ข้อมูลโลเคชั่น (Local SEO):
- การค้นหาผ่านเสียงมักจะมีความเกี่ยวข้องกับการค้นหาที่มีการกำหนดตำแหน่งที่ตั้ง เช่น “ร้านกาแฟใกล้ฉัน” หรือ “ร้านอาหารในกรุงเทพที่เปิดตอนดึก”
- การทำ Local SEO โดยการใช้คำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่ตั้งของธุรกิจคุณจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสปรากฏในการค้นหาผ่านเสียงได้มากขึ้น
เครื่องมือที่ช่วยในการทำ Voice Search Optimization
- Google Keyword Planner:
- ใช้ในการค้นหาคีย์เวิร์ดที่มีปริมาณการค้นหามากและเหมาะสมกับการค้นหาผ่านเสียง
- เครื่องมือนี้สามารถช่วยให้คุณหาคำค้นหาที่ใช้ในการพูดและแนะนำคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับ Voice Search
- Answer the Public:
- เครื่องมือฟรีที่ช่วยในการหาคำถามที่ผู้คนมักถามเกี่ยวกับหัวข้อที่คุณสนใจ ซึ่งเหมาะสำหรับการทำ Voice Search Optimization
- คุณสามารถใช้คำถามเหล่านี้ในการสร้างเนื้อหาบนเว็บไซต์
- Google Search Console:
- ช่วยในการตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณได้รับการจัดอันดับในผลการค้นหาของ Google และตรวจสอบคำค้นหาที่มีการใช้เสียงในการค้นหามาก
สรุป
Voice Search Optimization คือการปรับเว็บไซต์ให้รองรับการค้นหาผ่านเสียง ซึ่งเป็นแนวโน้มใหม่ที่สำคัญในการทำ SEO โดยการปรับเนื้อหาของเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับการใช้คำค้นหาที่มาจากการพูด เช่น การใช้คำถามหรือ Long-tail Keywords ที่มีลักษณะธรรมชาติ รวมถึงการปรับปรุงความเร็วในการโหลดและการออกแบบเว็บไซต์ให้ใช้งานง่ายบนมือถือ
ด้วยการเติบโตของการค้นหาผ่านเสียง Voice Search Optimization จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณสามารถดึงดูดผู้เข้าชมจากการค้นหาผ่านเสียงได้มากขึ้น และช่วยเพิ่มโอกาสในการจัดอันดับในผลการค้นหาของ Google
ติดต่อเรา
- Facebook : KNmasters รับทำเว็บไซต์ WordPress SEO Backlink การตลาดออนไลน์ครบวงจร
- LINE : KNmasters
- Youtube : KNmasters
- Instagram : knmasters.official
- Tiktok : KNmasters.official
- Twitter : KNmasters Official
- เว็บไซต์ : www.knmasters.com
- แผนที่ : KNmasters
